ประวัติความเป็นมา “ องค์หินตั้ง ” บ้านกุตาไก้
ชื่อแหล่งท่องเที่ยว : องค์หินตั้ง
ประเภทสถานที่ท่องเที่ยว : สถานที่ศักดิ์สิทธิ์
สถานที่ตั้ง : 15 หมู่ที่ 9 ต.กุตาไก้ องปลาปาก จ.นครพนม
latitude : 17.22
longitude : 104.64
รายละเอียด : เป็นสถานที่ศักสิทธิ์ที่ชาวตำบลกุตาไก้ให้ความเคารพนับถือ
และศักการะ ซึ่งในเดือน 3 ขึ้น 3 ค่ำของทุกปี
จะมีการจัดกิจกรรมนมัสการองค์หินตั้งขึ้น ณ บริเวณโรงเรียนกุตาไก้วิทยาคม
การเดินทาง : ห่างจากอำเภอปลาปาก
13 กิโลเมตร
ในการศึกษาประวัติความเป็นมาขององค์หินตั้งบ้านกุตาไก้นั้น คณะผู้วิจัยได้ศึกษารวบรวมข้อมูลทั้งข้อมูลชั้นต้นและข้อมูลชั้นรองจาก ผู้รู้ ผู้นำหมู่บ้าน ชาวบ้านกุตาไก้ รวมถึงได้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากเอกสารบางส่วนสามารถสรุปผลการศึกษา
โดยการแบ่งเป็น
3 ยุค ดังนี้
ยุคที่ 1 ตำนานองค์หินตั้ง เป็นยุคที่กล่าวถึงประวัติการสร้างองค์หินตั้ง ที่เล่าสืบต่อกันมา
ของชาวบ้านกุตาไก้
ก่อนที่จะมีการตั้งหมู่บ้านกุตาไก้ขึ้น
ยุคที่ 2 กำเนิดหมู่บ้านกุตาไก้
ยุคนี้ก็จะกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมโดยรอบของ
องค์หินตั้ง หลังจากที่มีการตั้งหมู่บ้านกุตาไก้ขึ้น
ยุคที่ 3 ห่วงใยลูกหลานร่วมสร้างโรงเรียนกุตาไก้วิทยาคม ยุคนี้ก็จะกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของการก่อตั้งโรงเรียนกุตาไก้วิทยาคม ซึ่งทำให้องค์หินตั้งได้รับการบูรณะให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดนครพนม จนถึงปัจจุบัน
ยุคที่ 1 ตำนานองค์หินตั้ง
“ องค์หินตั้ง ” ของชาวบ้านกุตาไก้เป็นรูปเคารพที่ชาวกุตาไก้และหมู่บ้านใกล้เคียงให้ความเคารพสักการะมาช้านาน
มีลักษณะเป็นแผ่นหินรูปใบเสมา 4 แท่ง ไม่มีลวดลายสลักแต่มีแกนตรงกลางแผ่น และเป็นแท่งหิน
4 เหลี่ยม 5 แท่งเป็นแท่งหินที่มีรูปร่างคล้ายศิวลึงค์อีก
1 แท่ง สร้างจากหินศิลาแลง
ซึ่งสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นศิลปกรรมสมัยทวารวดี
สังเกตจากลักษณะรูปแบบในการปัก เป็นการปักประจำทิศ
8 ทิศ ล้อมรอบแท่งหินลักษณะคล้าย
ศิวลึงค์รูปเคารพแทนองค์พระศิวะในศาสนาฮินดู รวมหินตั้งที่อยู่ในโรงเรียนกุตาไก้วิทยาคมทั้งหมด
10 แท่ง ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในพื้นที่ของโรงเรียนกุตาไก้วิทยาคม
อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม
จากคำบอกเล่าของ พ่อเฒ่าจันทา อายุ
ปี ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านกุตาไก้
เล่าถึงประวัติความเป็นมาขององค์หินตั้งว่า ตั้งแต่เกิดมาพวกตนก็เห็นองค์หินตั้ง มีมาพร้อมหมู่บ้านแล้ว
จึงไม่ทราบแน่ชัดว่าผู้ใดเป็นผู้สร้างองค์หินตั้งขึ้นมา
แต่จากคำบอกเล่าสืบต่อกันมาของพ่อแม่ปู่ย่าตายาย
บอกเล่าเป็นแนวทางเดียวกันว่า ในสมัยที่มีการสร้างองค์พระธาตุพนม ( พ.ศ. 8 ) ได้มีคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “ คน 8 ศอก ” ทราบข่าวว่าจะมีการสร้างองค์พระธาตุพนมที่ภูกำพร้า ( ปัจจุบันคือ
อำเภอธาตุพนม ) ก็มีความเลื่อมใสศรัทธาคิดจะร่วมสร้างองค์พระธาตุด้วย
จึงช่วยกันขนเอาหินศิลาแลงแล้วเดินทางมุ่งหน้าสู่ภูกำพร้า
แต่พอเดินทางมาถึงพื้นที่ ที่เป็นที่ตั้ง
ขององค์หินตั้งในปัจจุบัน ซึ่งแต่เดิมบริเวณพื้นที่แห่งนี้มีลักษณะเป็นป่าและมีทางเดินเท้าผ่านไปหมู่บ้านใกล้เคียง
ก็ทราบข่าวว่าองค์พระธาตุพนมนั้นได้สร้างเสร็จแล้ว ด้วยความเหน็ดเหนื่อยกลุ่มคน 8 ศอก
จึงหยุดพักและได้ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกับหินที่นำมานี้
ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่า หินนี้เป็นหินที่จะนำไปสร้างองค์พระธาตุพนม
ดังนั้นจึงถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ จะทิ้งไว้เฉยๆไม่ได้ต้องมีคนเฝ้าดูแล
สมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มคนยอกผู้หนึ่งไม่ได้ต้องมีคนเฝ้าดูแลือว่าเป็นของมีคนเฝ้า
8 ศอก ได้อาสาที่จะเป็นคนเฝ้า
หัวหน้ากลุ่มคน 8 ศอก
จึงตัดศรีษะสมาชิกคนนั้น แล้วนำร่างสมาชิกคนนั้นฝังรวมกับทรัพย์สินที่พวกตนนำติดตัวมา
แล้วนำหินมาตั้งทับเอาไว้
ตั้งแต่นั้นมา ชาวบ้านที่เดินทางผ่านไปมาก็เรียกหินตั้งด้วยความเคารพ
ศรัทธาว่า “ องค์หินตั้ง ” เวลาชาวบ้านเดินทางผ่านไปผ่านมา
ก็จะแสดงความเคารพองค์หินตั้ง โดยการนำเครื่องสักการะมาบูชา
หรือ หากผู้ใดไม่ได้นำเครื่องสักการะบูชามาด้วย
ชาวบ้านก็จะหักเอากิ่งไม้ริมทางมาเป็นเครื่องสักการะแทน
เครื่องสักการะองค์หินตั้ง ได้แก่ ดอกไม้สีแดง 5 คู่ , เทียน 5 คู่ หรือที่ชาวอีสานเรียกว่า “ ขัน 5 ” ที่ใช้ดอกไม้สีแดง พ่อเฒ่าจันทาบอกว่า
เพราะดอกไม้สีแดงใช้ในการบูชา “ ผี ” ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าองค์หินตั้งมีวิญญาณของผีผู้คุ้มครองสถิตอยู่
หากผู้ใดไม่ให้ความเคารพหรือกระทำการอันเป็นการลบหลู่ บุคคลนั้นก็จะประสบกับเหตุการณ์เลวร้ายหืออาจถึงกับเสียชีวิต
ตรงกันข้ามกผู้ใดให้ความเคารพศรัทธาเลวร้ายหืออาจถึงกับชีวิต
หากบุคคลใดให้ความเคารพศรัทธาต่อองค์หินตั้ง
บุคคลนั้นก็จะได้รับการคุ้มครอง และประสบผลสำเร็จในกิจการงานที่ทำ
ส่วนดอกไม้สีขาวนั้นใช้ในการประกอบพิธีมงคล จากคำบอกเล่าของพ่อเฒ่าจันทา มีความคล้ายคลึงกับคำบอกเล่าของ
นายและนาง
ยุคที่ 2 กำเนิดหมู่บ้านกุตาไก้
จากคำบอกเล่าของ พ่อเฒ่าเสย อายุ 64 ปี อดีตผู้ใหญ่บ้าน บ้านกุตาไก้หมู่ 4 กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านกุตาไก้ว่า
แต่เดิมนั้นราษฎรในบ้านกุตาไก้ ได้อพยพมาจากบ้านตากไชยบุรี
ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง หรือก็คือสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในปัจจุบัน
สาเหตุที่อพยพมา เนื่องจากสมัยนั้นเกิดโรคระบาดอย่างรุนแรง
ประกอบกับเกิดสงครามแย่งชิงอำนาจกันเอง ชาวบ้านดังกล่าวจึงอพยพข้ามแม่น้ำโขงมายังบริเวณใกล้หนองน้ำใหญ่
ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “ กุด ” จึงพร้อมใจกันตั้งหมู่บ้านที่บริเวณนี้ และ
ตั้งชื่อว่า “ บ้านกุดตาไก้ ” ภายหลังเพี้ยนเป็น “ บ้านกุตาไก้ ” ขึ้นกับอำเภอเมือง จังหวัดนครพนม
และได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นตำบลกุตาไก้ อำเภอเมืองนครพนม
เมื่อปี พ.ศ.2507 ต่อมาปลาปากได้แยกการปกครองออกเป็นกิ่งอำเภอปลาปาก
ทำให้ตำบลกุตาไก้ ขึ้นกับกิ่งอำเภอปลาปากแทน
ปี พ.ศ. 2514 กิ่งอำเภอปลาปาก
ก็ได้ยกฐานะเป็นอำเภอปลาปาก ภาษาที่ชาวกบ้านกุตาไก้ใช้
คือ ภาษากะเลิง ปัจจุบันเป็นตำบลที่ตั้งในเขตการปกครองของอำเภอปลาปาก
ประกอบด้วยหมู่ 12 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ 1 บ้านนางาม หมู่ 2 บ้านโพนทา หมู่ 3 บ้านดอนดู่ หมู่ 4 บ้านกุตาไก้ หมู่ 5 บ้านกุตาไก้ หมู่ 6 บ้านวังโพธิ์ หมู่ 7 บ้านนาเรียง หมู่ 8 บ้านนาดอกไม้ หมู่ 9 บ้านโคกสะอาด หมู่ 10 บ้านกุตาไก้ หมู่ 11 บ้านนาดอกไม้ หมู่ 12 บ้านดอนดู่
พ่อเฒ่าเกตุ
ดวงดีแก้ว อายุ
63 ปี กล่าวว่า
ภายหลังจากที่มีการตั้งหมู่บ้านขึ้น ในยุคแรกๆ
ของการก่อตั้งหมู่บ้าน พื้นที่บริเวณที่ตั้งของ
องค์หินตั้ง ในขณะนั้นเป็นที่ดินสาธารณะประโยชน์ถูกใช้เป็นป่าช้าของหมู่บ้าน
บริเวณองค์หินตั้งถูกปล่อยให้รกร้าง แต่ก็ยังมีชาวบ้านแวะเวียนเข้ามาสักการบูชาอยู่บ่อยครั้ง ครั้นเมื่อประมาณปี พ. ศ . 2514 ท่านพระครูบวร
ศรัทธาภิบาล ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “ หลวงปู่พอง ” เจ้าอาวาสวัดบวรศรัทธาราม (
วัดใต้ ) ในขณะนั้น ได้นำชาวบ้านในหมู่บ้านร่วมกันพัฒนาบริเวณพื้นที่ขององค์หินตั้ง
ให้เหมาะสมกับเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และร่วมกันทำป้ายไม้แสดงที่ตั้งขององค์หินตั้ง
ตั้งแต่นั้นมาองค์หินตั้งก็ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่หมู่บ้านกุตาไก้อย่างเป็นทางการมาจนถึงปัจจุบัน
ยุคที่ 3 ห่วงใยลูกหลานร่วมสร้างโรงเรียนกุตาไก้วิทยาคม
หลังจากที่พระครูบวร ศรัทธาภิบาล (หลวงปู่พอง ) ได้นำชาวบ้านเข้าบูรณะองค์หินตั้งจนเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้านแล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2520 ข้าราชการ ประชาชน พระสงฆ์ ในเขตตำบลกุตาไก้ – นามะเขือ
อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม
มีความต้องการโรงเรียนมัธยมประจำตำบล อันเนื่องมาจากสถานศึกษาระดับมัธยมที่มีอยู่
อยู่ห่างไกล การเดินทางของนักเรียนก็ไม่สะดวกและไม่ปลอดภัย
รวมถึงผู้ปกครองนักเรียนก็มีฐานะยากจนไม่สามารถส่งบุตรหลาน
ไปเรียนที่อำเภอปลาปากและจังหวัดนครพนมได้
ทุกฝ่ายจึงมีความเห็นตรงกันว่าควรจะจัดให้มีโรงเรียนมัธยมประจำตำบลกุตาไก้ เมื่อ ปี พ.ศ. 2524 คณะกรรมการสภาตำบลและทุกฝ่าย
สืบค้นที่ขององค์หินตั้งเข้าไปด้วย องค์หินตั้งเข้าไปด้วยจนเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้านแล้ว
สำรวจข้อมูลเพื่อสนองการจัดตั้งโรงเรียน
พ.ศ.
2526 คณะกรรมการสภาตำบลและทุกฝ่าย เสนอข้อมูลจัดตั้งโรงเรียนมัธยมประจำตำบลกุตาไก้
พ.ศ. 2527 ประชาชนตำบลกุตาไก้และตำบลนามะเขือ
อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนมร่วมกันบริจาคเงิน
และจัดสร้างอาคารเรียนชั่วคราว เป็นไม้ชั้นเดียวขนาด
2 ห้องเรียน ตั้งอยู่
ณ ที่ดินสาธารณประโยชน์ ซึ่งได้รับความเห็นชอบและอนุญาตจากสภาตำบลกุตาไก้ อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม จำนวน 68 ไร่
2 งาน 40 ตารางวา
ตั้งอยู่ที่บ้านกุตาไก้ อำเภอปลาปาก
จังหวัดนครพนม
เปิดดำเนินการสอนครั้งแรกเมื่อ วันที่ 17 พฤษภาคม
พ.ศ. 2527 โดยใช้ชื่อว่าโรงเรียน “สาขาโรงเรียนปลาปากวิทยาคม ”
พ.ศ. 2529 โรงเรียนปลาปากวิทยาคมได้รับบริจาคอาคารเรียนชั่วคราว
จำนวน 1 หลัง เป็นไม้ชั้นเดียวขนาด 4 ห้องเรียน
กว้าง 8 เมตร ยาว 36 เมตร
ในวันที่ 21 พฤษภาคม 2530 กระทรวงศึกษาธิการ ประกาศจัดตั้งเป็นโรงเรียนรัฐบาล
โดยใช้ชื่อว่า “ โรงเรียนกุตาไก้วิทยาคม ”
ท่านอาจารย์ประเสริฐ์ ศรีวรรณ อายุ 35 ปี (ผู้รู้ )
พนักงานราชการครูโรงเรียนกุตาไก้วิทยาคม กล่าวว่า
หลังจากที่มีการก่อสร้างโรงเรียนกุตาไก้วิทยาคมขึ้น
องค์หินตั้งก็ประดิษฐานอยู่ในพื้นที่ของโรงเรียนกุตาไก้วิทยาคม
โดยมี นายโกสินทร์ นันทธิโร
เป็นผู้อำนวยการคนแรก ต่อมาในปี พ.ศ. 2546
รั้งแรกมีผูงปู่นรอง
องค์การบริหารส่วนตำบลกุตาไก้ได้ทำการบูรณะ องค์หินตั้งใหม่ โดยใช้งบประมาณ 30,000 บาท
การบูรณะในครั้งนั้น
ได้มีการเปลี่ยนป้ายใหม่จากป้ายไม้เป็นป้ายแบบถาวรโดยการก่ออิฐแล้วนำอิฐมาก่อโดยรอบบริเวณองค์หินตั้งให้เห็นเป็นสถานที่
ที่มีอาณาเขตชัดเจนน่าเคารพสักการะมากขึ้น ทำให้ องค์หินตั้ง
กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางโบราณสถานของจังหวัดนครพนมอีกที่หนึ่ง
ต่อมาเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ที่ผ่านมา
ทางองค์การบริหารส่วนตำบลกุตาไก้ โดยมี
นายธนฤทธิ์ ผาสุข เป็นนายก
ได้จัดสรรงบประมาณ 130,000 บาท
ในการบูรณะองค์หินตั้งอีกรอบ การบูรณะครั้งนี้ได้นำหินศิลาแลงมาปูพื้นด้านในบริเวณองค์หินตั้งทั้งหมด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น